วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

สินค้าสาธารณะคืออะไร? (What is the Public Goods?)

สำหรับผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะการบริหารจัดการภาครัฐ (Public Administration) (จะเรียกว่า "รัฐประศาสนศาสตร์" หรือ "บริหารรัฐกิจ" ก็แล้วแต่) และผู้ที่ศึกษาทางด้านเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะเศรษฐศาสตร์ภาครัฐ (Public Economics) จะต้องพบกับคำคำหนึ่งที่จะวนเวียนอยู่ในสาขาวิชาทั้งสองเสมอๆ นั่นคือคำว่า “สินค้าสาธารณะ (Public Goods) (รวมถึงบริการสาธารณะด้วย)”  
ที่หยิบยกเรื่องนี้มาเขียนเพื่อปูพื้นฐานสำหรับผู้อ่านเพื่อที่โอกาสต่อๆ ไป ผมจะเขียนบทความที่มีเนื้อหาลงลึกเกี่ยวกับสินค้าสาธารณะ
                แล้วสินค้าสาธารณะมันคืออะไรละ? นิยามที่ชัดเจน.. เหมือนจะไม่มี มีแต่เพียงเกณฑ์ที่จะบอกได้ว่าถ้าสินค้าที่มีลักษณะต่างๆ ต่อไปนี้.. จะเป็นสินค้าสาธารณะ หรือเป็นการกำหนดนิยามโดยอาศัยเกณฑ์ดังกล่าวนั่นแหละ แต่ที่แน่ๆ สินค้าสาธารณะนั้นเป็นสินค้าที่ไม่สามารถใช้กลไกตลาดจัดการ (จัดสรรสินค้าและบริการ) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งตรงข้ามกับสินค้าเอกชนที่สามารถใช้กลไกราคาในการจัดการ (จัดสรรสินค้าและบริการ) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (แต่สุดท้ายตลาดก็ไม่มีประสิทธิภาพอย่างวสมบูรณ์ตามทฤษฏีอยู่ดี..ไว้โอกาสหน้าจะเล่าให้ฟัง)
                เกณฑ์ที่ใช้แบ่งว่าสินค้าใดเป็นสินค้าสาธารณะหรือไม่นั้นมีหลายเกณฑ์ด้วยกัน แต่ที่นิยมแพร่หลายและเข้าใจง่ายที่สุด คือ เกณฑ์ที่ใช้ลักษณะของสินค้าและบริการในการกำหนดประเภทของสินค้า ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวนี้เริ่มต้นโดย นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลนาม พอล แอนโทนี่ แซมมวลสัน (Paul A. Samuelson) ในบทความที่เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1954 แต่ในเวลานั้นยังไม่ได้กำหนดเป็นเกณฑ์ชัดเจนอย่างในปัจจุบัน แนวคิดของ พอล  เอ. แซมมวลสัน ได้รับการพัฒนาเรื่อยมาจนกระทั้งกำหนด “เกณฑ์การแบ่งประเภทสินค้าโดยอาศัยลักษณะของสินค้า”  ซึ่งลักษณะของสินค้าที่ใช้เป็นเกณฑ์ คือ

(1)  ลักษณะการเป็นปรปักษ์ในการบริโภค (Rival Consumption)  และ
(2)  ลักษณะการแบ่งแยกการบริโภคออกจากกัน (Exclusion Principle)

                เกณฑ์ลักษณะการเป็นปรปักษ์ในการบริโภค จำแนกประเภทสินค้าโดยดูว่าเมื่อสินค้าใดๆ ถูกใช้หรือบริโภคโดยคนหนึ่งคนใดแล้ว จะเป็นเหตุให้บุคคลอื่นไม่สามารถใช้สินค้านั้นหรือไม่ หรือทำให้ผู้อื่นได้รับความพึงพอใจน้อยลงจากการใช้สินค้านั้นหรือไม่ ถ้า “ใช่” ก็เป็นสินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค (Rival in Consumption) และถ้า “ไม่ใช่” ก็เป็นสินค้าที่ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค (Non-rival in Consumption) สินค้าที่ไม่เป็นปรปักษ์นี้อาจเรียกว่า สินค้าที่บริโภคร่วมกัน (Joint Consumption) หรือ Collective-consumption Goods ตามทัศนะของ พอล เอ. แซมมวลสัน นั่นเอง ตัวอย่างของสินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภคก็คือสินค้าทั่วๆ ไป เช่น ก๋วยเตี๋ยว ขนม เสื้อผ้า ที่คนนึงซื้อไปใช้แล้วคนต่อไปก็ไม่สามารถใช้สินค้าหน่วยนั่นๆ (หน่วยที่เค้าซื้อไปแล้ว) ได้อีก ส่วนตัวอย่างของสินค้าที่ไม่เป็นปรปักษ์ เช่น ฟรีทีวี และวิทยุ ที่ทุกคนที่มีเครื่องรับสัญญาณก็สามารถดูฟรีทีวีและฟังวิทยุได้โดยไม่ทำให้คนอื่นที่ดูฟรีทีวีหรือฟังวิทยุได้รับอรรถประโยชน์น้อยลง บางกรณีเมื่อมีคนซื้อสินค้าแล้วคนอื่นยังสามารถใช้สินค้าเหล่านั้นได้ แต่อาจได้รับอรรถประโยชน์น้อยลง เช่น ถนนสาธารณะ ที่ถ้ามีคนใช้เยอะๆ รถก็ติดก็ไปได้ช้าลง นั่นเอง
แล้วทำไมสินค้าที่ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภคจึงถูกจัดเป็นสินค้าสาธารณะ? ...เพราะภายใต้กลไกตลาด ผู้ผลิตและผู้บริโภคจะตัดสินใจกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยอาศัยต้นทุนส่วนเพิ่ม (Marginal Cost) และอรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม (Marginal Utility) หรือผลประโยชน์ส่วนเพิ่ม (Marginal Benefit) โดยผู้ผลิตนั้นจะผลิตก็ต่อเมื่อต้นทุนส่วนเพิ่มน้อยกว่าผลประโยชน์ส่วนเพิ่ม ส่วนผู้บริโภคก็จะซื้อสินค้าหรือบริการเมื่อได้รับผลประโยชน์เพิ่มสูงกว่าต้นทุนส่วนเพิ่มหรือเงินที่จ่ายออกไป (พูดง่ายๆ คือทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคจะทำอะไรก็ต่อเมื่อได้รับประโยชน์มากกว่าต้นทุนที่เสียไป) ส่วนจุดที่การผลิตหรือการบริโภคที่สังคมจะได้รับสวัสดิการสูงสุดคือจุดที่ต้นทุนส่วนเพิ่มเท่ากับผลประโยชน์ส่วนเพิ่มนั่นเอง
แต่.. ถ้าเมื่อมีคนใช้สินค้าแล้วคนอื่นยังสามารถใช้ร่วมได้โดยไม่ทำให้อรรถประโยชน์ลดลง (บางกรณีลดลงบ้างแต่ยังใช้ร่วมได้) เมื่อมีผู้ใช้เพิ่มขึ้นต้นทุนส่วนเพิ่มของการผลิตจะไม่เพิ่มขึ้น หรือ “ต้นทุนส่วนเพิ่มเมื่อมีผู้ซื้อสินค้าขึ้นนั้นมีค่าเท่ากับศูนย์ (Zero Marginal Cost)
ดั้งนั้นหากมองที่สวัสดิการของสังคมส่วนรวมแล้ว ก็ไม่ควรที่จะกีดกันมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าร่วมใช้บริการดังกล่าว แต่ควรเปิดโอกาสให้ผู้ใช้บริการให้มากที่สุดเท่าทีจะมากได้ (การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ) ราคาของสินค้าที่คิดแก่ผู้บริโภคควรเท่ากับศูนย์ หรือไม่ควรคิดค่าสินค้าหรือค่าตอบแทนจากผู้บริโภค เนื่องจากว่าถ้าผู้ผลิตคิดราคาหรือค่าตอบแทนจากผู้บริโภคก็จะทำให้มีผู้ใช้บริการได้จำนวนน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้การจัดสรรทรัพยากรขาดประสิทธิภาพจากการบริโภคน้อยกว่าที่ควร (Inefficiently Low Consumption) ทำให้สวัสดิการสังคมลดน้อยลงด้วย ตัวอย่างสถานการณ์อย่างนี้ได้แก่ การให้บริการโทรทัศน์ในระบบสมาชิก (เคเบิลทีวี)
                หลักเกณฑ์ที่สองที่ใช่แยกแยะสินค้าและบริการสาธารณะ คือ เกณฑ์ลักษณะการแยกการบริโภคออกจากกัน โดยดูว่าสินค้าที่สามารถใช้กลไกราคาหรือมาตรการบางอย่างเป็นเครื่องมือเพื่อที่จะกีดกันไม่ให้ผู้ใดได้ใช้สินค้านั้น ถ้าหากผู้นั้นไม่ยอมจ่ายเงิน หรือค่าตอบแทนเพื่อแลกเปลี่ยนอย่างอื่นเพื่อแลกกับการใช้หรือบริโภคสินค้านั้นหรือไม่ ถ้า “แยกได้” ก็เป็นสินค้าที่สามารถแยกการบริโภคจากกันได้ (Excludable) แต่ถ้า “แยกไม่ได้” ก็เป็นสินค้าที่ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้ (Non-excludable) ตัวอย่างก็คือสินค้าทั่วไปในท้องตลาด เช่น ข้าว ขนม ตั๋วเครื่องบิน สปา ตัดผม เป็นต้น ซึ่งหากไม่จ่ายเงินหรือค่าตอบแทนอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไม่สามารถบริโภคสินค้าและบริการเหล่านี้ได้ ส่วนสินค้าที่ไม่สามารถใช้กลไกราคาหรือมาตรการใดๆ มากีดกันให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้า ไม่ว่าผู้บริโภคนั้นจะจ่ายค่าตอบแทนในการใช้สินค้านั้นหรือไม่ก็ตาม ก็คือสินค้าที่ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้นั่นเอง ตัวอย่างเช่น อากาศ ลำน้ำสาธารณะ การป้องกันประเทศ และบริการทำความสะอาดถนนสาธารณะ โดยสินค้าเหล่านี้ผู้คนจะได้รับผลประโยชน์แม้ว่าจะไม่ได้จ่ายเงินหรือทำอะไรเป็นการแลกเปลี่ยนเลยก็ตาม

รูปจาก http://www.google.com/

                เนื่องจากหากผลิตสินค้าเหล่านี้ไปก็ไม่สามารถใช้กลไกใดมากีดกันการบริโภคได้ ผู้ผลิตเอกชนจึงไม่มีใครยอมที่จะผลิตสินค้าและบริการเหล่านี้เพราะผลิตมาแล้วไม่สามารถเก็บเงินจากผู้บริโภคได้ ในทางกลับกันผู้บริโภคที่มีเหตุผล (ตามหลักเศรษฐศาสตร์ผู้บริโภคตัดสินใจบนหลักเหตุผล) จึงไม่ยินดี ที่จะจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการเหล่านี้(จ่ายทำไมให้โง่) แต่จะได้รับอรรถประโยชน์จากการที่มีคนบางคนยอมจ่ายเพื่อให้มีสินค้าและบริการดังกล่าว ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาการบริโภคโดยไม่จ่าย (Free-rider Problem)
                สาเหตุจากปัญหาการบริโภคโดยไม่จ่ายนี้ บวกกับสมมุติฐานของระบบตลาดที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยอาศัยผลประโยชน์ส่วนตนนั้น จึงทำให้กลไกตลาดไม่สามารถจัดสรรสินค้าที่ไม่สามารถแยกผู้บริโภคออกจากกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลาดจะขาดประสิทธิภาพเนื่องจากการผลิตน้อยกว่าความต้องการ (Inefficiently Low Production) เนื่องจากจะไม่มีผู้บริโภคคนใดยอมจ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการและในที่สุดก็อาจจะไม่มีสินค้าและบริการที่มีคุณลักษณะไม่สามารถแยกผู้บริโภคออกจากกันได้ผลิตออกมาเลย
                จากเกณฑ์ดังทั้งสองที่กล่าวข้างต้นสามารถแบ่งประเภทสินค้าออกได้เป็น 4 ประเภท ตามตารางข้างล่าง


Rival in Consumption
Non-rival in Consumption
Excludable
Private Goods
สินค้าและบริการเอกชน
                 
Quasi-public Goods
สินค้าและบริการกึ่งสาธารณะ
Club Goods สินค้าสโมสร
Non-excludable
Quasi-public Goods
สินค้าและบริการกึ่งสาธารณะ
The Commons
Pure Public Goods
สินค้าและบริการสาธารณะที่แท้จริง
ตารางจาก: เกริกเกียรติ พิพัฒเสรีธรรม (2546)

1.   สินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภคและแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันได้ เป็นสินค้าเอกชน หรือในบางครั้งเรียกให้ชัดเจนว่าเป็น สินค้าเอกชนอย่างแท้ (Pure Private Goods) ตัวอย่างเช่น อาหาร ขนม กระเป๋า และเสื้อผ้า เป็นต้น
2.   สินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภคแต่แบ่งแยกการบริโภคออกจากกันไม่ได้ คือ “สินค้าลักษณะผสม (Quasi-public Goods or Impure Public Goods) ในบางกรณีจะเรียกให้เฉพาะเจาะจงว่าเป็น “สินค้าทั่วไป (Common Goods) ตัวอย่างเช่น ถนนสาธารณะ ลำน้ำสาธารณะ
3.   สินค้าที่ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภคแต่สามารถแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันได้ เป็น สินค้าลักษณะผสม (Quasi-public Goods or Impure Public Goods) หรือเรียกให้เฉพาะเจาะจงว่าเป็น “สินค้าสโมสร (Club Goods) ตัวอย่างเช่น บริการวิทยุโทรทัศน์ในระบบสมาชิก
4.   สินค้าไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภคและแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันไม่ได้ เป็นสินค้าสาธารณะ หรือถ้าจะเฉพาะเจาะจงลงไปก็จะเรียกว่าเป็น สินค้าสาธารณะแบบแท้ (Pure Public Goods)” ตัวอย่างได้แก่ การป้องกันประเทศ และการต่างประเทศ
                 
                และทั้งหมดนี้ก็คือความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการแบ่งประเภทสินค้าเป็นเอกชนและสินค้าสาธารณะโดยอาศัยเกณฑ์ตามลักษณะของสินค้า ซึ่งแบ่งประเภทสินค้าออกได้เป็น 4 ประเภทดังกล่าวข้างต้น ในโอกาสต่อๆ ไป จะเขียนบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสินค้าสาธารณะ หรือผู้อ่านไปศึกษาต่อด้วยตนเองบทความนี้ก็จะมีประโยชน์ในการเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ต่อๆ ไป

เรืออากาศตรี ชินวัฒน์ หรยางกูร
อาจารย์ กองการศึกษา โรงเรียนนายเรืออากาศ 







วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

อัตราเงินเฟ้อส่วนบุคคล (Personal Inflation Rate)


ณ วันที่เขียนบทความนี้ (ต้นปี พ.ศ. 2554) ปัญหาเงินเฟ้อเป็นปัญหาที่รุมเร้าประเทศไทยอย่างมาก ทั้ง น้ำมัน ราคาปุ๋ยเคมี น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง น้ำตาล มะพร้าว และยางพารา เป็นต้น
เงินเฟ้อคืออะไร?... เงินเฟ้อ (Inflation) คือ ภาวะที่ราคาสินค้าโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นเงินเฟ้อจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่ออำนาจซื้อ (Purchasing Power) ของเงินในกระเป๋าของเรา ยิ่งเงินเฟ้อมากขึ้นเท่าไรอำนาจการซื้อของเรายิ่งลดน้อยถอยลงเท่านั้น  
แต่... คำถามก็คือ อัตราเงินเฟ้อของประเทศ (National Inflation) ที่หน่วยงานของรัฐบาล (กระทรวงพานิชย์ในกรณีประเทศไทย) คำนวนและใช้เป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ (Economic Indicator) นั้นสมารถวัดอำนาจซื้อของเราจริงๆ ได้แค่ไหน?         
               ก่อนจะตอบคำถามดังกล่าวนั้น ขอปูพื้นฐานความรู้เรื่องอัตราเงินเฟ้อซักเล็กน้อย... อัตราเงินเฟ้อของประเทศที่หน่วยงานของรัฐคำนวนนั้นเป็นอัตราการเปลี่ยนแปลงเค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำนัก (Weighted Average) ของราคาสินค้า (ชนิดต่างๆ ที่เอามาคำนวน) ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยแบ่งสินค้าออกเป็นหมวดต่างๆ โดยแต่ละหมวดมีน้ำหนักค่าใช้จ่ายไม่เท่ากัน ลองนึกถึงความเป็นจริงว่าในแต่ละเดือนเราใช้จ่ายไปในสินค้าแต่ละชนิด เช่น อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องนุ่งห่ม ค่าเดินทาง และที่พักไม่เท่ากัน นอกจากนั้นการคำนวนเงินเฟ้อต้องคำนึงถึงที่ตั้งของครัวเรือนด้วย (แต่ละพื้นที่ราคาสินค้าไม่เท่ากันและเปลี่ยนแปลงแตกต่างกัน) ขนาดของครัวเรือน และรายได้ประจำของครัวเรือน
ประเทศไทยใช้ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) วัดอัตราเงินเฟ้อของประเทศ โดยดัชนีราคาผู้บริโภคแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (General Inflation) ที่กระทรวงพานิชย์ใช้วัดอัตราเงินเฟ้อ และดัชนีผู้บริโภคพื้นฐาน (Core Inflation) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้วิเคราะห์ในการกำหนดนโยบายการเงินของประเทศ
ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป มีหมวดสินค้าและบริหารที่ทำมาคำนวนทั้งสิ้น 7 หมวด ได้แก่
1.  หมวดอาหารและเครื่องดื่ม
2.  หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า
3.  หมวดเคหสถาน
4.  หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล
5.  หมวดพาหนะการขนส่งและการสื่อสาร
6.  หมวดการบันเทิงการอ่านและการศึกษา
7.  หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์

                ส่วนดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคพื้นฐานนั้นก็จะตัดหมวดรายการสินค้าในหมวดอาหารสด (เนื่องจากมีการเคลื่นไหวขึ้นลงตามฤดูกาลสูง) และสินค้าในหมวดพลังงาน (เพราะราคาเปลี่ยนแปลงตามราคาตลาดโลกจึงอยู่นอกเหนือการควบคุมของนโยบายการเงิน) โดยน้ำหนักของแต่ละหมวดได้มาจากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนที่จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยมีการปรับปรุงทุกๆ 4-5 ปี โดยล่าสุดมีการปรับปรุงในปี พ.ศ. 2550
(ผู้สนใจรายละเอียดสารมารถอ่านเพิ่มเติมได้ใน http://www.price.moc.go.th/price/know/cpi_note_2009.pdf)
                จะเห็นได้ว่าอัตราเงินเฟ้อที่หน่วยงานของรัฐคำนวนนั้นเป็นค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักจากจำนวนคนส่วนใหญ่ของประเทศ นั่นหมายความว่าหากเรามีวิถีชีวิตไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างจากคนทั่วไป (ซึ่งอย่างไรแต่ละคนก็ต้องแตกต่างกันอยู่แล้ว) อัตราเงินเฟ้อของประเทศนี้จึงไม่สามารถสะท้อนอำนาจซื้อที่เปลี่ยนแปลงไปของเราได้ดี
                ทางออก... จึงต้องคำนวนหาอัตราเงินเฟ้อส่วนบุคคลของเราเองเพื่อใช้ในการวัดอำนาจซื้อที่แท้จริงของเราที่เปลี่ยนแปลงไป
ในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ....... มีการให้บริการคำนวนอัตรงเงินเฟ้อส่วนบุคคลผ่านเว็บไซด์เลยทีเดียว แต่สำหรับประเทศ..... ไทย.. ผมยังไม่เห็นมีข้อมูลเอ่ยถึงเรื่องอัตราเงินเฟ้อส่วนบุคคลเลยด้วยซ้ำ (ค้นหาจากระบบ Search Engine ของ Google)
                เนื่องจากข้อมูลของประเทศไทยเกี่ยวกับเงินเฟ้อแต่ละหมวดหาได้ยากเหลือเกิน (ผมพยามจะหาแล้วมาแก้ไขเพื่อให้ผู้อ่านสามารถใช้เป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิงได้ต่อไป) ผมจึงนำเสนอวิธีการคำนวนอัตราเงินเฟ้อส่วนบุคคลในลักษณะที่เป็นหลักการดังนี้
1.  จดรายจ่ายของเราในแต่ละหมวด (เจ็ดหมวดตามที่แบ่งไว้)
2.  คำนวนน้ำหนักค่าใช้จ่ายของเรา โดยนำค่าใช้จ่ายแต่ละหมวดหารด้วยใช้จ่ายรวมในแต่ละเดือน
3.  น้ำหนักค่าใช้จ่ายแต่ละหมวดที่คำนวนได้มาคูณด้วยอัตราเงินเฟ้อแต่ละหมวด**
4.  นำอัตราเงินเฟ้อแต่ละหมวดที่ได้มารวมกัน ก็จะได้อัตราเงินเฟ้อส่วนบุคคลของเรา

** อัตราเงินเฟ้อที่นำมาคูณนี้หากใช้อัตราเงินเฟ้อของประเทศก็อาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงมากนักเพราะอัตราเงินเฟ้อต้องคำนึงถึงที่ตั้งของครัวเรือนด้วย ในปัจจุบันมีการจัดทำอัตราเงินเฟ้อประจำจังหวัดแต่ละจังหวัดหากเราใช้ตัวเลขดังกล่าวจะได้อัตราเงินเฟ้อที่ใกล้เคียงความเห็นจริงมากขึ้น

                เมื่อคำนวนอัตราเงินเฟ้อส่วนบุคคลของเราได้แล้วสามารถนำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้หลายประการดังนี้
1.  เราจะทราบได้ว่าที่จริงแล้วอำนาจการซื้อของเราลดลงมากหรือน้อยเพียงใด
2.  เราจะสามารถคำนวนอัตราผลตอบแทนที่ต้องการจากการลงทุนที่สารมารถครอบคลุมความเสี่ยง อัตราเงินเฟ้อ และความต้องการของเรา ได้ถูกต้องมากขึ้น
3.   เรา (อาจ) จะเห็นได้ว่าอัตราเงินเฟ้อเป็นส่วนบั่นทอนอำนาจซื้อของประชาชนและเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนอยู่ในระดับต่ำลง

               และนี้ก็คือหลักการคราวๆ ของอัตราเงินเฟ้อของประเทศ และอัตราเงินเฟ้อส่วนบุคคล จากข้อมูลที่กล่าวทั้งหมดข้างต้นจะเห็นได้ว่าอัตราเงินเฟ้อส่วนบุคคลของเราอาจแตกต่างอย่างมากจากอัตราเงินเฟ้อของประเทศที่เป็นตัวเลขที่เป็นตัวชีวัดทางเศรษฐกิจก็ได้ เราจึงจำเป็นต้องคำนวนอัตราเงินเฟ้อส่วนบุคคลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ต่อไป

เรืออากาศตรี ชินวัฒน์ หรยางกูร
อาจารย์ กองการศึกษา โรงเรียนนายเรืออากาศ